fbpx
Home
|
ไลฟ์สไตล์

เปิดประวัติ เอลวิส เพรสลีย์ ตำนานราชาร็อคแอนด์โรล

Featured Image

          เสียงกีต้าร์ที่โซโลอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ เสียงกลองที่รัวและหนักแน่น ผนวกกับเสียงร้องอันดุดันและเป็นเอกลักษณ์ของนักร้องนำ บรรยากาศแสงสีเสียง รวมถึงเหล่าผู้ชมที่กระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนานภายในคอนเสิร์ตเพลงร็อคสุดเร้าใจ

          ถ้าพูดถึง “ร็อคแอนด์โรล” ในประเทศไทยเราก็คงจะนึกถึงวงในตำนานอย่าง หินเหล็กไฟ บอดี้สแลม บิ๊กแอส ซิลลี่ฟูลส์ ที่มีจุดเด่นคือดนตรี ผนวกกับเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของนักร้องนำ

          ส่วนถ้าในต่างประเทศ ก็คงจะเป็นวงชื่อดังอย่าง The Beatles , The Rolling Stones , Queen  , guns n roses หรือแม้แต่ AC/DC ซึ่งสร้างผลงานอันโด่งดัง สร้างชื่อเสียงทำให้ผู้คนรู้จักพวกเขาในฐานะวงร็อคที่ดีที่สุดในโลก

          แต่ถ้าย้อนกลับไปในช่วงก่อนปี 1960 ช่วงนั้นผู้คนแทบจะยังไม่รู้จักกับเพลงแนวร็อคแอนด์โรลด้วยซ้ำ ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เพลงร็อคเป็น “ดนตรีของปีศาจ”

          และผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนความคิดของผู้คน ด้วยการสร้างเพลงร็อคแอนด์โรลที่สนุกสนาน จนไม่ว่าใครได้ฟังก็ต้องโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงอย่างหยุดไม่อยู่ เขาก็คือ “เอลวิส เพรสลีย์” ชายผู้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการเพลง และทำให้เพลงร็อคได้รับความนิยมจวบจนปัจจุบัน จนได้ฉายาว่า “ราชาร็อคแอนด์โรล” เรื่องราวของเขาจะเป็นยังไง เขาจะต้องผ่านอะไรมาบ้าง เรามาย้อนตำนานไปพร้อมกันได้เลย!  ดนตรีมา Let’s rock Everybody, let’s rock

จุดเริ่มต้น

          ในวันที่ 8 มกราคม 1935 เด็กน้อย “เอลวิส” ได้ถือกำเนิดขึ้น ณ เมืองมิซซิสซิปปี สหรัฐอเมริกา เอลวิสได้ถือกำเนิดมา โดยแม่ของเขาได้ท้องลูกแฝด คือเจสซีและเอลวิส หากแต่ด้วยฐานะที่ค่อนข้างยากจนของครอบครัว ทำให้พวกเขาไม่มีเงินไปหาหมอ แม่ของเขาจึงจำเป็นต้องคลอดที่บ้าน และนั่นทำให้แฝดอีกคนอย่างเจสซีไม่รอดชีวิต และเอลวิสก็เป็นผู้ที่ได้ลืมตาดูโลก

          ชีวิตในวัยเด็กของเอลวิสไม่ได้สวยหรูเหมือนเด็กคนอื่น ห่างไกลจากภาพลักษณ์ราชาร็อคแอนด์โรลที่เราคุ้นเคย ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในย่านคนจน บ้านของเขามีเพียงสองห้องเท่านั้น อีกทั้งพ่อของเอลวิสยังเรียนไม่จบ และแต่งงานขณะที่อายุเพียง 17 เท่านั้น นั่นจึงทำให้หางานได้ยาก และต้องเปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ แต่ถึงแม้สภาพครอบครัวจะลำบาก เอลวิสก็ยังได้รับความรักจากพ่อและแม่เป็นอย่างดี

          ในย่านชนบท ความสุขของผู้คนมีไม่กี่อย่าง และหนึ่งในนั้นคือเสียงดนตรีและโบสถ์ ครอบครัวของเอลวิสได้พาเขาไปที่โบสถ์แถวบ้าน และที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เอลวิสได้เริ่มร้องเพลงเป็นครั้งแรก ราวกับพระเจ้าชี้ทางให้แก่เขา เพราะจังหวะเพลงและการเล่นดนตรีจากการนักดนตรีในโบสถ์ก็เป็นรากฐานให้ร็อคแอนด์โรลในเวลาต่อมา อีกทั้งแม่ของเขาก็ไม่ได้ต่อต้านให้กับความรักที่มีต่อเสียงดนตรีของเอลวิส

          ความสามารถในการร้องเพลงของเอลวิสโดดเด่นกว่าเด็กคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เอลวิสได้เข้าร่วมคณะประสานเสียงด้วยพรสวรรค์ของเขา ทางด้านแม่เมื่อเห็นว่าลูกชายมีความสามารถ แม้จะมีเงินไม่มาก แต่ในวันเกิดอายุครบ 11 ปี แม่ก็ซื้อกีต้าร์ตัวแรกให้ ซึ่งเอลวิสก็ได้อาศัยครูพักลักจำด้วยตัวเอง บวกกับได้รับการฝึกสอนจากบาทหลวงในโบสถ์บ้างเล็กน้อย

คำดูถูกและความฝันของราชาร็อคแอนด์โรล

          ในปี 1948 ครอบครัวของเอลวิสได้ตัดสินใจย้ายบ้านเข้าสู่เมืองใหญ่ นั่นคือเมืองเมมฟิส  รัฐเทนเนสซี ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เอลวิสเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแบบเต็มตัว เขาเริ่มไว้จอน และออกเดทกับสาว นอกจากนี้ ราวกับโชคชะตา เมืองเมมฟิสแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของ “Sun Studios” ซึ่งมี “แซม ฟิลลิปส์” เป็นเจ้าของ

          ฟิลลิปส์ต้องการอัดเพลงเร็ว ที่ใช้กีตาร์ไฟฟ้าเป็นหลัก และดนตรีมีความสนุกสนาน ซึ่ง ณ เวลานั้น ยังไม่มีใครรู้จักดนตรีแนวนี้ แต่ในปัจจุบัน มันก็คือ “ร็อคแอนด์โรล” นั่นเอง ทางด้านของเอลวิส เมื่อทราบข่าวเขาก็เดินทางไปยังสตูดิโอดังกล่าวอย่างไม่รีรอ และเลือกอัดเพลงที่ชื่อ “My Happiness”

          อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเอลวิสจะอัดเพลงไป และเดินทางแวะเวียนไปยังสตูดิโอบ่อยครั้ง แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ทำงานในร้านขายเครื่องจักร แม้จะพยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยการร้องเพลง แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือคำตอบที่ว่า “นายไม่มีทางเป็นนักร้องได้หรอก”

          แต่แล้วในปี 1954 จุดเปลี่ยนในชีวิตของเอลวิสก็มาถึง เมื่อเข้าได้มีโอกาสกลับไปยัง Sun Studios อีกครั้งเพื่ออัดเพลง โดยในครั้งนี้เขาได้พบกับมือกีตาร์และมือเบสอย่าง “สก็อตตี มัวร์” และ “บิล แบล็ค” หากแต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เอลวิสเล่นเพลงช้าซึ่งไม่เหมาะกับเขา และไม่ได้ทำให้ผู้คนในสตูดิโอประทับใจ

          ทว่าในช่วงที่ทุกคนกำลังถอดใจ เอลวิสได้หยิบกีตาร์คู่กายขึ้นมา ก่อนจะดีดมันเป็นจังหวะสนุกสนาน ทั้งบิลและมัวร์ต่างก็รู้สึกสนใจ และไม่รอช้าคว้ากีตาร์และเบสเข้ามาแจมกับเอลวิสทันที ซึ่งผลลัพธ์ของมันน่าทึ่งมาก เพราะในคืนต่อมา ดีเจก็ได้เปิดเพลงของเอลวิส จนทำให้มีผู้คนกว่า 100 คนโทรหาสถานีวิทยุเพื่อขอให้เปิดมันอีกครั้ง ชื่อของเพลงนี้คือ “That’s all right (Mama)”

สู่ราชาร็อคแอนด์โรล

          หลังจากนั้นทุกคนในเมืองเมมฟิสต่างก็รู้จักชื่อของ “เอลวิส เพรสลีย์” กราฟชีวิตของเขากำลังพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด เอลวิสได้เปลี่ยนผู้จัดการคนใหม่เป็น “ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์” เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำว่า Sun Studios เล็กเกินไปสำหรับเอลวิส ปาร์คเกอร์ได้จัดการเจรจาให้เอลวิสเซ็นสัญญากับ “RCA Records” โดย RCA ได้จ่ายเงินค่าสัญญาของเอลวิสถึง 35,000 ดอลลาร์ หรือถ้าตีเป็นเงินไทยก็มากกว่า 1 ล้านบาท

           เพลงแรกที่เอลวิสได้ปล่อยกับ RCA คือเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งได้เผยแพร่ในปี 1956 และกลายเป็นเพลงที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดย ณ ขณะนั้นเอลวิสเพิ่งจะอายุ 21 ปีเท่านั้น

          นอกจากเพลงจะโด่งดัง ตัวเขาเองก็มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นเดียวกัน เงินทองไหลมาเทมา ชีวิตของเขาและครอบครัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งตัวเขายังทำให้เพลงร็อคแอนด์โรลได้รับความนิยมอย่างมาก จนผู้คนยกให้เขาเป็น “ราชาร็อคแอนด์โรล”

          นอกจาก Heartbreak Hotel เขาก็ยังปล่อยเพลงอื่น ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็น Hound Dog หรือ Don’t Be Cruel ซึ่งทุกเพลงล้วนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ทั้งนั้น

          ความรุ่งเรืองในชีวิตของเอลวิสยังไม่หมดแค่นั้น เพราะช่วงนั้นเป็นจังหวะที่ “เจมส์ ดีน” นักแสดงชื่อดังเสียชีวิต เอลวิสจึงได้รับโอกาสในการเซ็นสัญญากับสตูดิโอภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ และในปี 1956 เขาก็ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Love Me Tender” ซึ่งแม้นักวิจารณ์จะวิจารณ์การแสดงของเขาในแง่ลบ แต่ผู้ชมกลับชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ และเข้าไปดูกันอย่างล้นหลาม นั่นทำให้ช่วงปี 1956 ถึง 1969 เอลวิสเล่นหนังไปถึง 31 เรื่อง

มรสุมชีวิตรุมล้อม

          อย่างไรก็ตาม ชีวิตมีขึ้นแล้วก็ต้องมีลงโดยที่เราอาจไม่ทันตั้งตัว เพราะในขณะที่เขาเป็นดารานำผู้ยิ่งใหญ่ คิวถ่ายหนังกลับแน่นจนทำให้เขาไม่มีเวลาอัดเพลงหรือออกแสดงคอนเสิร์ต แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะแผ่นเสียงเก่า ๆ ของเขาก็ยังขายได้และทำเงินได้อยู่ดี

          แต่แล้วในขณะที่กราฟชีวิตของเขากำลังพุ่งสู่จุดสูงสุด เอลวิสกลับต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด เมื่อเขาถูกหมายเรียกเกณฑ์ทหาร นั่นทำให้ในปี 1973 เอลวิสจำเป็นจะต้องเข้าสู่กองทัพในที่สุด แต่ไม่หมดแค่นั้น หลังจากเอลวิสต้องเป็นทหาร แม่ของเขาก็ล้มป่วย และเสียชีวิตในที่สุด

          ในขณะที่เขากำลังโศกเศร้ากับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของแม่ เขาก็ยังถูกส่งไปประจำการที่เยอรมนี ความเสียใจผนวกกับต้องห่างบ้านทำให้เอลวิสเลือกจะใช้ยาที่ได้รับจากเพื่อนทหารของเขา โดยไม่รู้เลยว่ามันจะมีผลอะไรตามมาบ้าง…

          อย่างไรก็ตาม อีกสิ่งหนึ่งที่เยียวยาหัวใจของเอลวิสขณะเป็นทหาร คือหญิงสาวที่มีชื่อว่า “พริสซิลลา โบลิว” ซึ่งเป็นลูกบุญธรรมของทหารในกองทัพอากาศคนหนึ่ง นั่นจึงทำให้ทั้งสองได้พบรักกัน

          หลังจากปลดประจำการ ปาร์คเกอร์ ผู้จัดการของเอลวิสก็ได้วางแผนให้เขากลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการให้จัดรายการโทรทัศน์ต้อนรับการกลับมาของเขา ทั้งยังแสดงภาพยนตร์ ซึ่งแน่นอนว่ากระแสตอบรับยังคงดีเหมือนเคย

          ท่ามกลางความมืดก็ยังมีแสงสว่างอยู่ เพราะในวันที่ 1 พฤษภาคม 1967 เอลวิส เพรสลีย์ ก็ได้ตัดสินใจเข้างานวิวาห์กับ พริซซิลลา โบลิว และหนึ่งปีต่อมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1968 เด็กสาว “ลิซา มารี เพรสลีย์” ลูกน้อยของเอลวิสและพริซซิลลาก็ลืมตาดูโลก

          ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดกาล วันเวลาที่ผ่านเลยไป ในขณะที่เอลวิสกำลังเล่นภาพยนตร์แย่ ๆ และร้องเพลงเก่า ๆ  วงดนตรียุคใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น ผนวกกับรสนิยมของผู้คนก็เปลี่ยนไป เอลวิสจึงเปรียบเสมือนเพลงร็อคยุคเก่า ในขณะที่ “เดอะ บีสเทิลส์” “โรลลิงสโตนส์” หรือแม้แต่ “บ๊อบ ดีแลน” ได้ขึ้นมาแทนที่เขา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เอลวิสยอมรับไม่ได้

          ยิ่งนานวันเข้า ความเครียดของเขายิ่งสะสมจนทำให้เขากลับมาใช้ยาอีกครั้ง ปัญหาต่าง ๆ เริ่มรุมเร้า น้ำหนักของเขามากขึ้น ทั้งยังมีปากเสียงกับภรรยาของเขา ก่อนที่ในปี 1968 เอลวิสได้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการเซ็นสัญญากับ NBC โดยหวังจะทวงคืนตำแหน่งราชาของเขาคืนอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ก็ทำให้เขากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

          แม้ราชาจะคืนบัลลังค์ หากแต่เขากลับต้องเสียหญิงอันเป็นที่รักไป เพราะในปี 1973 เอลวิสและภรรยาสาวของเขาก็ได้ตัดสินใจหย่าร้างกัน ซึ่งนั่นทำให้เอลวิสไปคลุกคลีกับกลุ่มเพื่อนของเขาที่มีชื่อว่า “เมมฟิสมาเฟีย” ในช่วงนี้เองเอลวิสติดยาอย่างหนัก ร่างกายของเขาแย่ลงเรื่อย ๆ และในวันที่ 16 สิงหาคม 1977 เอลวิส เพรสลีย์ ราชาร็อคแอนด์โรลก็เสียชีวิตลง ด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ในวัยเพียง 42 ปีเท่านั้น

ราชาที่ไม่มีวันตาย

          การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเขา ทำให้เหล่าแฟนคลับต่างโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน อัลบั้มของเอลวิสขายได้สูงถึง 1,000 ล้านแผ่น นอกจากนี้ในทุก ๆ วันครบรอบการจากไปของเขา ก็จะมีแฟนคลับเข้าไปร่วมรำลึกถึงเขาอย่างไม่ขาดสาย

          สิ่งที่เขาเหลือเอาไว้ นั่นคือ “ร็อคแอนด์โรล” ดนตรีที่ไม่มีวันตกยุค ทั้งยังสืบทอดมันให้แก่ศิลปินรุ่นหลัง ทำให้ศิลปินรุ่นหลังมีความฝันที่จะเติบโตมาเป็นราชาเช่นเดียวกับเขา นอกจากนี้ในทุกวันนี้ผู้คนก็ยังเปิดเพลงของเขาฟัง ราวกับว่าเขาไม่เคยจากไปไหน แต่ยังคงอยู่ในเสียงเพลงที่เขาเป็นคนขับร้องมันออกมา

สรุปส่งท้าย

          เส้นทางชีวิตของ เอลวิส เพรสลีย์ คงจะเป็นบทเรียนให้กับใครหลายคน ในเรื่องการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เพราะถ้าในความเป็นจริง อายุของเขายังไม่มาก และเขายังมีพลังมากพอจะสร้างสรรค์ผลงานอีกมากมาย

          แต่ถึงแม้ตัวเขาจะจากไป สิ่งที่เขาสร้างไว้ไม่ว่าจะเป็นผลงานเพลง ผลงานการแสดง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงวงการเพลงด้วยดนตรีร็อคแอนด์โรล ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่มีวันลืม “เอลวิส เพรสลีย์ ราชาร็อคแอนด์โรล”

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก

Timeless History

themodernist

thepeople

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube