เปิดโมเมนต์หัวใจ! น้ำตาล ชลิตา ที่เผยแบบหมดเปลือก พร้อมความห่วงใยของแม่
เปิดโมเมนต์หัวใจ! น้ำตาล ชลิตา ที่เผยแบบหมดเปลือก
พร้อมความห่วงใยของแม่
เมื่อ น้ำตาล ชลิตา ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษเปิดเรื่องราวในชีวิตพร้อม คุณแม่ชุติกาญจน์ ในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เผยทุกช่วงเวลาของชีวิตที่ต้องสู้ แต่เธอก็คือนักสู้ตัวจริงที่สู้ไม่ถอยทำงานทุกอย่างเพื่อช่วงแบ่งเบาภาระของคุณแม่สุดที่รักได้ พร้อมยังเล่าเรื่องราวความรักที่เปิดเป็นความลับคุณแม่มาตลอดตอนช่วงวัยรุ่น
ถาม เราอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างจะตึงๆเรื่องเงินทองพอสมควรในตอนนั้น ??
น้ำตาล ชลิตา : ใช่ค่ะ คือตอนนั้นไม่ได้มีฐานะอะไรเลย หาเช้ากินค่ำแล้วก็ไม่ได้มีเงินเก็บอะไรเลยก็เลยต้องเหมือนช่วยซัพพอร์ตเขาตรงนี้ด้วยอะไรที่เหมือนเราช่วยได้ก็ต้องช่วยเพราะว่าเรามีน้องสาวอีกหนึ่งคนด้วยค่ะ
ถาม แล้วอย่างที่บอกว่าเราทำเองคนเดียวทั้งหมดทั้งโบสถ์ ซักผ้า ดูดฝุ่นทั้งหมดทุกอย่างนี้ จำได้ไหมว่าเราได้เงินเท่าไหร่
น้ำตาล ชลิตา : ตอนนั้นได้เป็นวันค่ะ วันละ 300 บาทแต่ว่าก็จะมีค่ารถต่างหากค่ะ
ถาม ตอนนั้นคุณแม่เองก็เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็คือ สู้มาพร้อมคุณแม่เลย แต่การเรียนเราก็ไม่ทิ้ง
น้ำตาล ชลิตา : ไม่ทิ้งค่ะ เพราะว่าคุณแม่จะบอกเราตลอดเลยว่าตั้งใจเรียนนะไม่อยากให้เป็นเหมือนแม่อะไรอย่างนี้ค่ะ ตอนม.1 มีพลาดไปตอนนั้นได้3.12 ร้องไห้เลย แล้วแม่ก็ถามเลยว่าทำไมได้แค่นี้?? เราก็ไม่ได้เราจะต้องขยันให้มากๆเราต้องทำให้ได้พอเราจบม.6 เกรดเฉลี่ย 3.98
ถาม ทำงานเยอะหนักขนาดนั้นเอาเวลาที่ไหนดูหนังสือ
น้ำตาล ชลิตา : เวลาที่เราดูคือตอนกลางคืนแล้วก็เวลาที่เราว่างเพราะว่าเราไม่มีโอกาสไปเที่ยวเหมือนเพื่อนๆหรือไปข้างนอกก็เลยต้องใช้ตรงนี้เอาค่ะ และเราก็ไม่ได้เรียนพิเศษด้วยเหมือนเวลาที่เราไปเรียนเราเป็นคนชอบจด lecture เยอะมากเหมือนเราจับไต๋อาจารย์ว่าอาจารย์คนนี้พูดแบบนี้เขาจะออกข้อสอบแบบนี้ อาจารย์คนนี้พูดแบบนี้เขาจะออกข้อสอบแบบนี้ เราจะใช้แบบ trick ตรงนี้เยอะแยะมากก็เลยจะได้ตรงนี้แล้วบวกกับเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษเราจะเป็นคนที่ไม่ได้ไปเรียนพิเศษเราก็จะไปตีสนิทกับอาจารย์แบบอาจารย์เราไม่ได้ตรงนี้ต้องทำอย่างไร ต้องพูดแบบไหนแล้วเราก็มีโอกาสได้ไป speed contest นะคะ เราได้ไปแข่งตรงนั้นเราก็รู้สึกว่าเราสนุกดี แต่ที่คุณแม่บอกว่าให้เราต้องตั้งใจเรียนเพราะว่าคุณแม่ไม่อยากให้เราลำบากเหมือนคุณแม่เพราะคุณแม่เรียนจบแค่ป.6 ค่ะ แล้ใเขาก็เหมือนกับทำงานสู้ชีวิตมาตลอดเหมือนเวลาที่เขามองเราแล้วอะไรที่เราทำแล้วประสบความสำเร็จ คือ เราจะเป็นเด็กกิจกรรม เป็นเด็กชอบแข่ง ชอบล่าประกาศนียบัตร คือชอบมากทั้งคัดลายมือ เรียงความอะไรที่เราทำได้เราทำหมดเลยเพื่อที่จะเป็นประวัติเวลาทำอะไรจะได้ง่ายขึ้น แล้วเวลาที่แม่เห็นเราประสบความสำเร็จในแต่ละด้านแม่ก็จะภูมิใจปลื้มในตัวเราเพราะเราชอบให้คุณแม่ยอ เพราะว่าเวลาที่คุณแม่ดุคือเขาดุมากเราเลยอยากให้เขายอเราบ้าง
ถาม ความฝันการเป็นนางงามมีบ้างไหมตอนเด็กๆ
น้ำตาล ชลิตา : คือเหมือนตอนนั้นด้วยความที่เราเป็นเด็กกิจกรรมเราก็ได้ทำอะไรเยอะแยะมากกว่า ทั้งเป็นลีดเดอร์ ทั้งเต้นทั้งเป็นดรัมมาเยอร์เราก็เหมือนเราได้ทำกิจกรรมตลอดแต่พ่อกับแม่ไม่อยากให้เราทำกิจกรรมเพราะต้องซ้อมกลับบ้านเย็นก็เลยทะเลาะกับพ่อแม่บ้างแต่เราก็ดื้อบ้างเพราะเราคิดว่ากิจกรรมก็ต้องมา การเรียนก็ต้องดี
ถาม เอาจริงๆตอนที่เราอยู่โรงเรียนเราจัดว่าเป็นดาวป็อปปูล่าเดินไปไหนก็มีแต่เสียงฮือ…
น้ำตาล ชลิตา : ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ เพราะเราค่อนข้างเฟรนด์ลี่แล้วก็สนิทกับครูฝ่ายปกครองส่วนใหญ่จะสนิทอย่างนั้นน้องก็จะรู้จักค่ะ แต่ไม่ได้เป็นดาวอะไรขนาดนั้น
ถาม ความรักบ้างดีกว่าเป็นคนที่เรียนด้วยทำงานก็หนักหนามีความรักเข้ามาบ้างไหม
น้ำตาล ชลิตา : ตอนม.3 เหมือนเพื่อนเข้ามาเหมือนแกล้งจีบเราเหมือนแข่งกันว่าใครจะจีบเราติด แล้วมีอยู่คนหนึ่งที่จีบเราติดแล้วเขาก็เล่าให้เราฟังสารภาพบาปว่าตอนแรกมาเหมือนแกล้งๆแต่พอได้มารู้จักเราจริงๆหรือคุยกันจริงๆก็เหมือนว่าชอบ สำหรับคนนี้เป็นแฟนกันมาเกือบ 5 ปีเลยค่ะ จากการเริ่มต้นเป็นการแกล้งจีบ
ถาม 5 ปีมันเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์นี้เอ่ย ??
น้ำตาล ชลิตา : ตัวเราเองค่ะ ด้วยความที่เราเรียนที่ กรุงเทพฯ แล้วเราก็ไปเรียนที่ต่างจังหวัดที่ มหาสารคาม แล้วด้วยความที่ระยะทางมันไกลกัน ตอนแรกเขาก็ไปหาเราหรืออะไรอย่างนี้ แล้วคือตอนเราไปอยู่โน้นเราต้องรับน้องทำกิจกรรมต้องเรียนเยอะก็มีความที่เราทะเลาะกันเยอะแยะมากมายแล้วก็มีปัญหาเข้ามา แล้วก็มีคนที่เข้ามาหาเราอีกเราก็ไปกระปี้กระเป่าตรงนั้นแล้ว 5 ปีตรงนี้เราก็ลืมไปเลยมันเป็นการเปิดโลกใบใหม่แล้วเขาก็ใกล้กว่า ซึ่งจากที่เราเรียนกรุงเทพฯ ที่เราเลือกไปที่ มหาสารคาม เพราะว่าเราอยากไปลองใช้ชีวิตด้วยตัวเอง และต้องการหนีคุณแม่ด้วยค่ะ เหตุผลหลัก (หัวเราะ) เพราะว่าแม่เขาค่อนข้างที่จะตีกรอบให้เราอยู่แบบทางนี้นะ อยู่ตรงนี้นะ แต่เราก็จะมีบ้างแอบๆค่ะ เราก็เลยอยากไปลองใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แต่เราก็จะบอกแม่ว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเสาร์ – อาทิตย์ เราจะไปหาคุณย่า เพราะว่าคุณย่า อยู่ ยโสธร ก็จะนั่งรถไปง่ายๆ
ถาม แล้วตอนมีแฟนตั้งแต่ม.3 ถึงมหาวิทยาลัย ยาวมา 5 ปี คุณแม่ ทราบไหม
น้ำตาล ชลิตา : ไม่รู้ค่ะ (หัวเราะ) แต่เขาจับได้ก็มีเพราะว่าเราแอบคุยโทรศัพท์แม่เขาก็ดุเราแต่เราก็ยังยคดมั่นว่าไม่เราต้องทำให้สำเร็จ
ถาม แล้วพอเราเอาใจไปผูกกับคนอื่นแล้วหลังจากที่คบกันมา 5 ปี
น้ำตาล ชลิตา : เราก็บอกเลิกเขาตอนนั้นเราก็รู้สึกแต่ตอนนั้นมีคนที่ดูแลหัวใจเราอยู่เจอสิ่งใหม่ๆเราไม่ได้เสียใจมาก แต่ว่าเพื่อนที่สนิททุกคนที่อยู่รอบข้างเราบอกว่าแฟนเก่าของเราเสียใจมากเราเข้าไปดูโซเชี่ยลของเขาคือไม่เคลื่อนไหวเลยเป็นปีๆเลยค่ะ ความสัมพันธ์ของเรา 5 ปีก็นานค่ะ
ถาม หลังจากนั้นเคยได้มีโอกาสขอโทษเขาไหม
น้ำตาล ชลิตา : ไม่เคยขอโทษแต่ว่าเคยเจอกันตอนไปงานรับปริญญาเพื่อนค่ะ แต่ว่าเราเองก็ไม่กล้าที่จะสบตาหรือมองหน้าเขาเลยค่ะ และเขาก็ไม่กล้าสบตาหรือมองหน้าเราเลยเพราะว่าตอนนั้นเราได้ตำแหน่ง มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ แล้วด้วยมันก็เลยเหมือนไม่กล้าคุยไม่กล้าอะไร
ถาม แล้วกับคนนั้นเราคบกันนานไหม ?
น้ำตาล ชลิตา : ไม่นานค่ะ คือตอนนั้นเราคบกันตอนที่เราปี 2 ใช่ไหมคะแล้วเมื่อเราเรียนจบเราก็ต้องกลับมากรุงเทพฯ แล้วเราก็จะต้องมาสมัครงานแล้วพอเรามาประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์แล้วได้พอดี เหมือนเรามีจุดโฟกัสที่เราคิดว่าเราต้องทำตรงนี้ให้ดีก่อนเราก็ไม่ได้โฟกัสตรงนั้น แล้วเหมือนเพื่อนสนิทของเขาโทรศัพท์มาหาเราเพราะสงสารเรามั้งว่าเธอเลิกไปเถอะเพราะนางมีคนอื่นเราก็แบบโอ๊ย !! ตายแล้วเวรกรรมหรือเปล่า
ถาม แล้วเส้นทางนางงามของ น้ำตาล เริ่มต้นอย่างไร
น้ำตาล ชลิตา : เริ่มจากการที่เราจะสมัครงานเลยค่ะ แล้วคือพอเรากลับมาเราก็จะได้ไปทำงานที่สุวรรณภูมิคือเราจะได้เป็นพนักงานเสิร์ฟ แต่พอเราโตแล้วเราก็อยากเปลี่ยนไปเป็นพนักงานตรงเค้าท์เตอร์เพื่อที่จะได้แต่งหน้าแต่งตัวก็เลยส่งรูปไปเพื่อสมัครเป็นพนักงานขาย แต่เขาเขียนมาบอกว่าเพราะเราไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นเลยตกไปไม่ได้เป็น แต่ พี่ปุ้น เขาอยากส่งนางงาม แต่เลยบอก พี่นุ่ม ให้ไปหาเด็กมาให้หน่อยแล้วก็ส่งรูปไปให้เลือก 30-40 คน แล้วเขาก็บอกว่าเขาชอบเราเพราะว่าหน้าไทยดีเพราะว่าส่วนใหญ่ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ จะเป็นลูกครึ่ง


ถาม แล้วมงก็ลงเราวินาทีตรงนั้นงงไหม
น้ำตาล ชลิตา : งงมากค่ะ
ถาม แต่หลังจากนั้นไปสู่เวทีโลกในวันที่ไปสู่เวทีโลกแรงกดดันมันมากอยู่แล้ว เพราะเราคือตัวแทนประเทศไทย
น้ำตาล ชลิตา : มากค่ะ เพราะเหมือนพอเราได้รับมงแล้วมันมีกระแสแอนตี้เราเยอะมากเขาบอกว่าเราไม่สมมงเราเตี้ย ยิ้มไม่สวย เดินไม่ดี
ถาม ตอนที่เขาแอนตี้เราแบบนี้เรารู้สึกอย่างไร
น้ำตาล ชลิตา : ตอนนั้นเรารู้สึกตกใจค่ะ ทำไมเขารุนแรงจังเลยเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็มีท้อเหมือนกันค่ะ เพราะว่าคือตอนนั้นเราไปออกงานหรือขอบคุณสปอร์ตเซอร์คือเราจะโดนด่าทุกครั้งเลย ลุคอะไรไม่ดีเลยช่วงนั้นคือเราก็ต้องแบบคือพอเราขอบคุณสปอร์ตเซอร์เสร็จแล้วในแต่ละวันเราต้องทำอะไรหลายๆอย่างมาก ตื่นมาเราต้องออกกำลังกายตอน 7 โมงเช้าแล้วตอนสายๆเราต้องไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มแล้วตอนบ่ายๆเราก็ต้องเปลี่ยนการเรียนไปเรื่อยๆ (เรียนการเดิน , แอคติ้ง , เรียนจิตวิทยา , เรียนตอบคำถาม) เรียนทุกอย่างเลยค่ะ แล้วตอนเย็นก็ไปฟิตเนสต่อคือเราทำแบบนี้อยู่ทุกวันๆแล้วพอเราทำอะไรแบบนี้แล้วเขาไม่เห็นเขาก็ด่าๆตลอด แล้วตอนนั้นเราก็มีเหมือนกันแบบไม่เอาแล้วไม่ทำอะไรแล้วเราไม่ไปไหนเลยไม่ไปเรียนไม่ทำอะไรเลยแล้วเราก็นั่งที่ห้องเฉยๆตอนนั้นอยู่บ้าน พี่นุ่ม ค่ะ เพราะเวลาเราไปงานไปอะไรจะได้สะดวกเขาก็บอกเราว่าทำไมวันนี้เราไม่ไป เราก็บอกเขาว่าเราเหนื่อยทำอะไรก็ไม่ดี พี่นุ่ม เขาก็บอกว่างั้นไปคืนมงไหม แล้วพี่เขาก็บอกว่าลองคิดดูกี่ร้อยกี่พันคนที่อยากเป็น มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ เป็นคนเดียวที่เป็นผู้หญิงที่ได้ตำแหน่งตรงนี้เขาเหนื่อยแค่ไหน เธอเหนื่อยแค่ไหนทุกคนฝ่าฟันแค่ไหนแต่เธอได้แล้วเธอทำเต็มที่แล้วหรือยัง เราร้องไห้แบบไม่ไหวเลยตอนนั้นเราเหนื่อยมากแล้วพอเจอแบบนั้นมานั่งคิดกับตัวเองเราทำเต็มที่แล้วหรือยังเราร้องไห้เลย เพราะตอนนั้นเราเหนื่อยมากพอเจอแบบนั้นเราก็มานั่งคิดกับตัวเองว่าเราทำเต็มที่หรือยังเราไปสุดเท่าที่เราทำได้หรือยัง เราก็เลยแบบเราจะเก็บคำพูดที่ด่าเรามาเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองเดี๋ยวเจอแน่ ใครที่บอกว่าเราอ้วนเตี้ย เราก็ออกกำลังเราฝึกเดินตลอดเป็นพันๆรอบกว่าจะได้ขนาดนั้นคือเราซ้อมเราฝึกเยอะมากค่ะ คือตอนนั้นด้วยความที่เรายังไม่ลีนด้วยเราเลยมีความรู้สึกว่าเราก็ย้อนไปดู มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ในแต่ละปีเราก็เห็นหุ่นของเขาเรารู้สึกว่าเราต้องทำแบบนี้ให้ได้ ทุกคนเลยเห็นการเปลี่ยนแปลงของเรา
ถาม พอเป็นนางงามทุกคนมองเห็นหนุ่มๆเข้ามาจีบเยอะไหม ??
น้ำตาล ชลิตา : มงไม่ได้การันตีเลยว่าจะมีใครเข้ามา ไม่มีเลยจริงๆค่ะ เพราะว่าเราทำงานเสร็จแล้วเราก็กลับ แล้วเวลาที่เราจะไปเที่ยวไหน เราไม่ได้แบบเที่ยวมันเป็นผู้ชายเพราะเราไปเที่ยวบาร์เกย์ไปดูแบบดูโชว์ (ยิ้ม) แต่กลายเป็นที่แบบไม่ได้มีใครเข้ามา
พี่ฉอด : แต่จากการสืบข่าวของพวกเรามีหนุ่มหล่อๆเป็นนักกีฬา นักมวยอินเตอร์มาแอบกุ๊กกิ๊กให้ระบุไหมกำลังเล่นละครพี่ฉอด อยู่ด้วย ??
น้ำตาล ชลิตา : (ทำท่าตกใจ) ไม่ค่ะ จริงๆก็ไม่ได้มีอะไรก็เหมือนแค่ได้คุยกันเฉยๆค่ะ เขาก็เป็นพี่ที่ดีคนหนึ่งค่ะ
ถาม จากที่การบอกว่าไม่ได้มีใครเข้ามาจีบ อาจจะเพราะว่าเราไม่ได้สนใจ
น้ำตาล ชลิตา : อาจจะใช่ค่ะ เพราะว่าเราทำงานเยอะมากค่ะ วิ่งงานเยอะมากจริงๆค่ะ เลยไม่ได้มีเวลาโฟกัสตรงอื่นเลย
ถาม แล้วสถานะหัวใจในวันนี้คือ
น้ำตาล ชลิตา : ก็มีคนคุยๆค่ะ
คุณแม่ : เขาเองก็คิดเรื่องว่าเชาจะเจอคู่แบบไหน เป็นอย่างไร เพราะครอบครัวเรามีอยู่ 6 คน แล้วถ้าทุกคนไปก็จะเหลือแค่น้องเพราะฉะนั้นก็อยากให้เขาถ้ามีคู่ก็อยากให้มั่นคงให้อยู่ดูแลเขาได้เท่านั้นเอง แค่เขาไม่ทำให้หนูร้องไห้ก็พอแล้วดีที่สุดแล้ว ถ้าวันหนึ่งที่หนูต้องร้องไห้แล้วเสียใจในสิ่งที่หนูไม่อยากให้มันเป็นมันก็คือสิ่งที่ต้องเลือกว่าเขาดีกับหนูไหมหรือเขาไม่ดีกับหนูเพราะอะไรนั่นแหละคือเหตุผลของชีวิตคู่ถ้าคิดจะอยู่ด้วยกันก็ต้องเข้าหากันให้เป็นเท่านั้นเอง
สามารถชมคลิป ย้อนหลัง ได้ในรายการ CLUB FRIDAY SHOW ผลิตโดย CHANGE2561 ทางยูทูป :



ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





