จากประเด็น ผลการประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค(RBC) ไทย - กัมพูชา (สมัยวิสามัญ) ระหว่างกองทัพภาคที่ 1 ของไทยที่ดูแลพื้นที่จ.สระแก้ว กับ ภูมิภาคทหารที่ 5 ของเขมร วันที่ 22 ส.ค. 68 ที่ออกมาแม้จะดูเหมือนเขมรจะ “ลดสอบ” ท่าทีลงบ้าง กับการยอมรับข้อตกลงการประชุม ของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ทั้ง 13 ประเด็น

การยกฟ้องคดี ม.112 “ทักษิณ ชินวัตร” ของศาลอาญาวันนี้ (22 ส.ค.)ในทางการเมือง ถูกจับตาเป็นหนึ่งบวกของ “รัฐบาลเพื่อไทย” ในสัญญาน 2 สถานีถัดไป ที่ส่งผลกระทบทางการเมือง

ถูกนำมาแปรค่าเป็น “สัญญาน” ในการจับทิศทางการเมืองในช็อตถัดจากวันนี้ ทั้งวันพรุ่งนี้ (22ส.ค.) ที่จะมีคดี “ม.112” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” และ วันที่ 29 ส.ค.ที่ศาล ”นัดวินิจฉัยคดีคลิปเสียงฮุนเซน” รวมถึง 9 ก.ย.ที่จะมีการตัดสินคดี “คนชั้น14” ที่ “ทักษิณ” ตกเป็นจำเลย ของศาลฎีกานักการเมือง ที่คดีของ 2 พ่อลูก ถูกจับตาว่าจะส่งผลทางการเมืองไทยไม่ว่าจะรอดหรือไม่รอด

คู่ขนานกับ “ศึกเขมร”ปรากฏ “บางสัญญานการเมือง”ไหลไปสู่ การ เปลี่ยนสมการใหม่ กลางสถานการณ์ความขัดแย้ง ระดับทวิภาคีที่ มีภาพความพยายามของ “มหาอำนาจ”เข้ามาแทรกแซงจนอาจส่งผลกระทบด้านความมั่นคง ไม่แค่ 2 ประเทศคู่ขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา จาก “ศึกเขมร” ที่ยังไม่น่าไว้วางใจการสร้างสถานการณ์รอบใหม่

สถานการณ์ “ศึกเขมร”ในช่วงระหว่าง “หยุดยิง”ตามข้อตกลงการเจรจาระดับทวิภาคี ผ่านการประชุมGBC ที่ “คงสภาพ”การหยุดยิงของกองกำลัง2ฝ่ายไทย-กัมพูชาไว้ที่ฐานที่มั่น ตามแนวรบที่เกิดการปะทะและใครเข้ายึดกุมสภาพได้ก่อนเที่ยงคืนวันที่ 28ก.ค.

หน้างาน ยังคามือแก้ไม่ได้แถมถูกลดเครดิตกับ 2 วิกฤติ ทั้ง “ศึกเขมร”และ “ศึกเศรษฐกิจ” ที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายฐานความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของ “รัฐบาลอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร เหลือ4% แถมกำลังเข้า “โซนอันตราย”จาก “คดีคลิปเสียงฮุนเซน”ที่นัดตัดสิน 29ส.ค.

เมื่อสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ผ่อนคลายลงในระดับหนึ่ง ประกอบกับ สภาผู้แทนราษฏร ผ่านร่าง พรบ.งบประมาณ รายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 3 แล้ว น่าจะทำให้รัฐบาลหายใจหายคอโล่งขึ้น ในการเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย แก้ปัญหาช่วยเหลือประชาชน