ไม่แต่โดยสภาพ “ข้อเท็จจริงทางการเมืองปี66” ก่อนเข้าสู่ ปี67 ภายใต้อำนาจ “รัฐบาลเพื่อไทย” โดย “นายกฯเศรษฐา”ว่าด้วยผลกระทบ “กระบวนการยุติธรรม” อันถูกวิจารณ์ ว่าเกิดจากการแทรกแซง

“คลื่นความร้อนทางการเมือง” ที่จะต้องเตรียมรับแบบหนีไม่ออกในปีหน้า2567 ที่จะรุมเร้า ตั้งแต่เมื่อกลับมาเปิดทำการหลังปีใหม่ ไม่แต่จะทำให้ “นายกฯเศรษฐา” ที่บอกว่าจะทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

นอกจาก “สัญญาณการเมือง” ว่าด้วยการ ปรับครม.และ การเปลี่ยนตัวนายกฯ ที่จู่ๆ ก็มีการพูดถึงกันในห้วงสัปดาห์ส่งท้ายก่อนปีใหม่ กระทั่งผู้คนในรัฐบาล ทั้ง “นายกฯเศรษฐา” ที่ยืนยันยังไม่มีการปรับครม.หรือดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วม

ตัดแทรก ในจังหวะ ข่าว ฉายารัฐบาล ตามธรรมเนียมช่วงสิ้นปี ที่สื่อทำเนียบฯตั้งให้“แกงส้มผลักรวม”และ “นายกฯเศรษฐา”เป็น “เซลล์แมนสแตนด์ชิน”ไม่นับรวม ฉายาบรรดารัฐมนตรี แบบหยิกจักกัดเล็กๆ ให้ฮือฮาหน้าหนึ่ง ประมาณว่า ผู้คนในรัฐบาล หลายคนรวมถึง รมว.ที่ถูกวิจารณ์หนักสุดอย่าง รมว.ยุติธรรม ต่าง น้อมรับคำวิจารณ์ จะมีก็ “นายกเศรษฐา”ที่ออกตัว ปฎิเสธทั้ง ไม่ใช่สแตนด์อิน รอ ครอบครัวไหนมาบริหารประเทศ และไม่ได้แกงพรรคก้าวไกล

เรื่องความเป็นไปเป็นอยู่ของ “คนชั้น14”อย่าง “นช.ทักษิณ”กลับมาพีคแรงอีกครั้งในวันนี้(22ธ.ค.) ที่ครบกำหนดการรับโทษ โดยนอนรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มาแล้ว 120 วัน หลังจากที่เดินทางกลับประเทศไทย 22ส.ค.

ถัดจากภาพ“สมศักดิ์ เทพสุทิน”รองนายกฯกำกับกระทรวงยุติธรรม ผู้ได้ขึ้นชื่อว่า “อ่านขาด”กระดานหุ้นการเมือง“แทงหวยการเมือง”ถูกได้เป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งทุกครั้ง จนเป็นรัฐมนตรีหลายสมัย อ้างในฐานะโดนหางเลขว่าช่วงปี63ที่เป็น รมว.ยุติธรรม ใน “รัฐบาลลุงตู่” เป็นผู้ออก “กฎกระทรวง” รองรับกับ พรบ.ราชทัณฑ์ฉบับแก้ไขปี60 ที่ให้รับโทษนอกคุกก่อนที่ใน “รัฐบาลเศรษฐา”จะมีการออกระเบียบราชทัณฑ์ ออกมา วันที่ 6 ธ.ค.66