Home
|
ไลฟ์สไตล์

เซ็บเดิร์ม ที่หน้า หนังศีรษะ ต่างกันยังไง ดูแบบไหนให้รู้ว่าไม่ใช่ผื่นแพ้อื่นๆ

Featured Image

ผิวมันก็แต่กลับลอกเป็นขุยแถมมีอาการคันและแดงเป็นบางจุด หลายคนก็อาจเข้าใจไปว่า…นี่เรากำลังเป็นผื่นแพ้อยู่หรือเปล่านะ แต่ความจริงแล้วเราอาจกำลังเป็นเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) ปัญหาผิวที่พบได้บ่อยทั้งบนใบหน้าและหนังศีรษะ โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลีย พักผ่อนน้อย หรือเครียดสะสมอยู่ก็ได้  เซ็บเดิร์มคืออะไร เซ็บเดิร์มที่หน้าและหนังศีรษะต่างกันอย่างไร รวมถึงควรดูแลผิวยังไงให้กลับมาแข็งแรงไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

เซ็บเดิร์ม คืออะไร

เซ็บเดิร์มเป็นภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดจากความไม่สมดุลของต่อมไขมันและจุลชีพบนผิว โดยเฉพาะเชื้อยีสต์ที่ชื่อว่า Malassezia ซึ่งมีอยู่ตามปกติในผิวของทุกคน แต่เมื่อร่างกายมีปัจจัยที่มากระตุ้น เช่น ความเครียด การพักผ่อนน้อย หรืออากาศเปลี่ยนแปลง เชื้อตัวนี้ก็จะเติบโตมากกว่าปกติและทำให้เกิดการอักเสบของผิว

ทำให้ลักษณะเด่นของเซ็บเดิร์ม คือ มีผิวแดง คัน ลอกเป็นขุยมัน ๆ มักเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น ข้างจมูก คิ้ว คาง รอบปาก รวมถึงหนังศีรษะ ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นรังแคธรรมดา ทั้งที่จริงแล้วคืออาการของเซ็บเดิร์ม

เซ็บเดิร์มที่หน้า vs ที่หนังศีรษะ ต่างกันยังไง

อาการของเซ็บเดิร์ม แม้จะมีสาเหตุเดียวกัน คือ ความผิดปกติของต่อมไขมันและการอักเสบของผิวหนัง แต่เมื่อเกิดขึ้นในบริเวณหน้าและหนังศีรษะ ก็จะมีลักษณะบางอย่างที่ต่างกัน เช่น 

เมื่อเป็นเซ็บเดิร์มที่ใบหน้ามักจะพบได้ที่บริเวณข้างจมูก คิ้ว ร่องแก้ม คาง รอบปาก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันค่อนข้างเยอะ ผิวจะดูมัน ลอกเป็นขุยเล็ก ๆ หรือมีสะเก็ดสีขาว-เหลือง แผ่นผื่นอาจสีแดงอ่อน มีอาการคันหรือแสบร้อนเบา ๆ โดยเฉพาะเวลาใช้ครีมหรือแต่งหน้า บางครั้งอาจส่งผลให้แต่งหน้าไม่ติด ผิวลอกเป็นขุยเห็นได้ชัด ทำให้เสียความมั่นใจได้

ส่วนเมื่อเป็นเซ็บเดิร์มที่หนังศีรษะจะมีลักษณะเฉพาะ คือ ผมมัน หนังศีรษะคัน มีรังแคหนา-บาง หรือสะเก็ดไขมันติดเส้นผมได้ง่าย ซึ่งบางกรณีอาจมีผมร่วงร่วมด้วยได้ เพราะมีการอักเสบบริเวณโคนผม จุดที่พบได้บ่อย คือ กลางศีรษะ ข้างหู ท้ายทอย ซึ่งอาจดูเหมือนรังแคธรรมดา แต่ถ้าเป็นเซ็บเดิร์ม รังแคมักหนาและกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย

เซ็บเดิร์ม สังเกตยังไงว่าไม่ใช่ผื่นแพ้

เชื่อว่าหลายคนยังแยกไม่ออกว่าอาการลอกแดงคันบนใบหน้าคือผื่นแพ้หรือเซ็บเดิร์ม ซึ่งจริง ๆ แล้วมีจุดสังเกตง่าย ๆ ดังนี้

  • ถ้าเป็นเซ็บเดิร์มผิวจะมันและลอกในเวลาเดียวกัน มักเกิดเรื้อรัง เป็นซ้ำในจุดเดิม ๆ
  • ถ้าเป็นผื่นแพ้ผิวจะมีอาการแสบ แดง คันหลังใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด และหายเมื่อหยุดใช้
  • ถ้าเป็นสิวผิวจะมีหัวสิวหรือหนองร่วมด้วย ไม่ค่อยมีขุยมัน

แต่ถ้าหากยังไม่แน่ใจอยู่เหมือนเดิม การพบแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะแพทย์สามารถใช้กล้องขยายผิว (Dermascope) ตรวจดูรอยโรคได้ละเอียดกว่า และแยกได้ว่าเป็นเซ็บเดิร์มหรือผื่นแพ้ชนิดอื่น ๆ

เซ็บเดิร์ม ทำไมถึงกลับมาเป็นซ้ำได้

แม้เซ็บเดิร์มจะเป็นปัญหาผิวที่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ แต่หลายคนมักเจอปัญหาว่าหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีก ซึ่งสาเหตุหลักมาจาก

  • การดูแลผิวที่ยังไม่เหมาะสม เช่น ล้างหน้าบ่อยเกินไป ใช้โฟมล้างหน้าที่แรง
  • ภาวะเครียดเรื้อรังที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น
  • สภาพอากาศแห้งหรือเปลี่ยนแปลงบ่อย
  • พักผ่อนน้อยจนภูมิคุ้มกันผิวลดลง
  • หยุดใช้ยาทันทีที่อาการดีขึ้น โดยไม่ได้ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง

ดังนั้น การควบคุมอาการในระยะยาวต้องเน้นทั้งการใช้ยารักษาและการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน

พฤติกรรมที่ทำให้เซ็บเดิร์มแย่ลงโดยไม่รู้ตัว มีอะไรบ้าง

นอกจากปัจจัยทางร่างกายแล้ว พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มีส่วนทำให้เซ็บเดิร์มแย่ลงได้โดยไม่รู้ตัวได้ เช่น

  • ล้างหน้าบ่อยเกินไปทำให้ผิวขาดน้ำและกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์หรือกลิ่นแรงทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบง่าย
  • เกาหรือขัดผิวแรง ๆ ทำให้ผิวเกิดแผลและกระตุ้นการอักเสบ
  • ดื่มกาแฟหรือแอลกอฮอล์ในปริมาณมากส่งผลต่อฮอร์โมนและการทำงานของต่อมไขมัน
  • นอนดึก เครียดสะสม จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้นและผื่นก็จะกำเริบง่าย
  • อยู่ในห้องแอร์นานจนผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและเสียสมดุล

หากเราสามารถปรับพฤติกรรมเหล่านี้ได้ ผิวจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้มากเลยทีเดียว

เซ็บเดิร์ม รักษาด้วยเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ในคลินิกได้ไหม

ในปัจจุบันมีการใช้ทั้งเลเซอร์และทรีตเมนต์ทางคลินิก เข้ามาช่วยดูแลรักษาสำหรับผู้ที่เป็นเซ็บเดิร์มได้อย่างปลอดภัย โดยจะเน้นไปที่การลดการอักเสบ ฟื้นฟูสมดุลของผิว และลดการสะสมของเชื้อยีสต์บนหนังศีรษะหรือใบหน้า โดยบางคลินิกจะมีการรักษา เช่น

  • เลเซอร์ลดการอักเสบ (LED Light Therapy) เพื่อช่วยลดรอยแดงและควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน
  • โปรแกรมฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier Recovery) เพื่อเติมความชุ่มชื้นและซ่อมแซมผิวที่อ่อนแอ
  • Scalp Detox หรือทรีตเมนต์ทำความสะอาดหนังศีรษะ เพื่อลดความมันและเชื้อยีสต์ที่เป็นต้นเหตุของรังแค

ซึ่งหัตถการทั้งหมดควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเรามีการเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิวและความรุนแรงของโรคแต่ละคน

เป็นเซ็บเดิร์ม ควรดูแลผิวอย่างไรให้กลับมาแข็งแรง

สำหรับการดูแลผิวเมื่อเป็นเซ็บเดิร์มควรเน้นเรื่องความอ่อนโยนและการรักษาสมดุลของผิวเป็นหลัก โดยเราสามารถดูแลผิวได้ ดังนี้

  • เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอ่อนโยน (pH-balanced) ปราศจากโซเดียมลอริลซัลเฟตที่ถือเป็นสารลดแรงตึงผิว แอลกอฮอล์ และน้ำหอม
  • หลีกเลี่ยงการสครับหรือขัดผิวเพราะจะทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น
  • ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เติมความชุ่มชื้น ช่วยให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรง ลดการลอกและคันได้
  • เลือกใช้ครีมกันแดดสูตรสำหรับผิวแพ้ง่าย หลีกเลี่ยงสูตรที่เพิ่มความมันหรือมีเนื้อซิลิโคนหนัก
  • ถ้าเป็นที่หนังศีรษะควรใช้แชมพูที่มีส่วนผสม Zinc pyrithione, Ketoconazole หรือ Selenium sulfide
  • ควรทายารักษาตามคำแนะนำของแพทย์โดยเฉพาะยากลุ่มต้านเชื้อราในช่วงที่ผื่นกำเริบ
  • ดูแลสุขภาพกายใจ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และลดความเครียด

ดังนั้น การฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงต้องใช้เวลาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อผิวกลับมาสมดุล อาการเซ็บเดิร์มก็จะทุเลาและหายกลับมาเป็นปกติ

สรุป

เซ็บเดิร์ม เป็นภาวะผิวอักเสบที่มักเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น บริเวณใบหน้าและหนังศีรษะ แม้จะไม่อันตรายแต่สร้างความรำคาญและกระทบต่อความมั่นใจได้มากเลยทีเดียว ซึ่งการที่เราสามารถสังเกตลักษณะผื่นให้ถูกต้องและได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะช่วยควบคุมอาการได้ดีและลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้

หากใครกำลังมีอาการผิวลอก มัน แดง หรือคันซ้ำ ๆ โดยเฉพาะบริเวณข้างจมูกหรือหนังศีรษะ แนะนำให้เข้ารับการประเมินกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง เพื่อวางแผนการรักษาและดูแลผิวให้กลับมาสมดุลได้อย่างปลอดภัย

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube