หูด อาการเริ่มแรกเป็นยังไง ดูแลแบบไหนไม่ให้ติดเชื้อ ทิ้งรอยแผลเป็น
ตุ่มเล็ก ๆ บนผิวที่แข็งนูนขึ้นมาเฉย ๆ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ความจริงอาจยังไม่รู้ว่านั่นคือหูด ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวและสามารถติดต่อได้โดยตรงจากการสัมผัสผิว หรือใช้ของร่วมกันโดยไม่รู้ตัว
หูดไม่เพียงทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อขึ้นบริเวณที่มองเห็นได้ชัด เช่น มือ ใบหน้า หรือเท้า สัญญาณเริ่มต้นของหูดแท้จริงแล้วเป็นยังไง มีวิธีดูแลรักษาให้ปลอดภัย และการป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลหรือกลับมาเป็นซ้ำแบบไหนบ้าง
ทำความรู้จัก หูด คืออะไร
หูดคือ ก้อนนูนเล็ก ๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่ม Human Papillomavirus หรือ HPV ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเจริญเติบโตมากกว่าปกติ จนกลายเป็นตุ่มแข็งหรือตุ่มนูนที่สัมผัสแล้วรู้สึกสาก
โดยลักษณะของหูดจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่ขึ้น เช่น
- หูดธรรมดา มักขึ้นที่มือ นิ้ว หรือข้อศอก ผิวแข็ง สีเทาอ่อน
- หูดที่ฝ่าเท้า มักเจ็บเวลาลงน้ำหนัก
- หูดข้าวสุก เป็นตุ่มกลมเล็ก สีเนื้อ หรือขาวอมชมพู มักขึ้นบริเวณใบหน้า ลำคอ
- หูดหงอนไก่ พบได้บริเวณอวัยวะเพศ เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ HPV ที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทางเพศ
แม้ส่วนใหญ่หูดจะไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้ลามเป็นวงกว้าง หรือเกิดรอยแผลที่รักษายากในภายหลังได้
หูด อาการเริ่มแรกสังเกตยังไง

อาการเริ่มแรกของหูด ลองสังเกตดูว่าผิวของเรากำลังมีอาการแบบนี้หรือไม่ เพราะการเรารู้เร็วจะช่วยให้รักษาได้ทัน ลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นและการติดเชื้อด้วย
- ผิวบริเวณนั้นเริ่มแข็งหรือหยาบกว่าปกติ
- มีตุ่มนูนเล็ก ๆ ผิวด้านคล้ายกระดาษทราย
- บางจุดมีจุดดำเล็ก ๆ ตรงกลาง ซึ่งแท้จริงแล้วคือเส้นเลือดฝอยที่อุดตัน
- เมื่อสัมผัสหรือเดินเหยียบในกรณีที่เป็นที่เท้าจะรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ
- หูดบางชนิดอาจเกิดอาการคันหรือระคายเคืองเล็กน้อย
โดยช่วงแรก ๆ หลายคนจะชอบเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสิวหรือไฝ และพยายามจะแกะหรือบีบออก ซึ่งเป็นสิ่งที่ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้ไวรัสแพร่กระจายและติดเชื้อได้ง่ายขึ้นด้วย
หูด มีสาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง
หูดเกิดจากเชื้อไวรัส HPV ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลเล็ก ๆ หรือผิวที่แตกแห้ง แม้จะเป็นรอยแผลที่มองไม่เห็นก็สามารถติดเชื้อได้ นอกจากนั้นก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีก ได้แก่
- การสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่เป็นหูด เช่น จับมือ หรือใช้ของร่วมกัน
- ผิวหนังที่มีแผลหรือแห้งแตกง่าย ทำให้ไวรัสเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้น
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น พักผ่อนน้อย เครียด หรือเจ็บป่วยเรื้อรัง
- อยู่กับสภาพแวดล้อมอับชื้นเป็นเวลานาน เช่น สวมรองเท้าอับชื่น เหงื่อออกมาก
- พฤติกรรมส่วนตัว เช่น กัดเล็บ ดึงหนังรอบเล็บ หรือชอบแกะสิว
หูด ขึ้นตรงไหน บ่งบอกอะไรได้บ้าง
หลายคนอาจไม่รู้ว่าตำแหน่งของหูดอาจบ่งบอกถึงพฤติกรรมที่เราชอบทำหรือจุดที่ผิวมักถูกเสียดสีเป็นประจำได้ด้วย เช่น
- หูดที่มือและนิ้ว มักเกิดจากการสัมผัสสิ่งของร่วมกัน หรือกัดเล็บบ่อย
- หูดที่เท้า มักเกิดจากเหงื่อและความอับชื้น เช่น ใส่รองเท้าหัวปิดนาน ๆ
- หูดที่ใบหน้า อาจเกิดจากการแตะ สัมผัสใบหน้าบ่อย หรือใช้เครื่องสำอางที่ไม่สะอาด
- หูดที่ลำคอหรือรักแร้ อาจเกี่ยวกับการเสียดสีจากเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ
- หูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ เกิดจากการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ดังนั้น หากพบหูดเกิดขึ้นในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดหรือเริ่มลุกลามแล้ว ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินแนวทางการรักษาให้เหมาะสมที่สุด
หูด ควรเลือกเลเซอร์แบบไหนในการรักษา

ปัจจุบันเลเซอร์ถูกนำมาใช้ในการรักษาหูดอย่างแพร่หลาย เพราะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แม่นยำ และลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นได้ดีกว่าวิธีเดิม ๆ เช่น การจี้ด้วยไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อตามมาได้ง่าย โดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังจะเป็นผู้ประเมินชนิดของเลเซอร์ให้เหมาะสมกับตำแหน่ง ขนาด และลักษณะของหูดของแต่ละคน
ประเภทของเลเซอร์ที่นิยมใช้รักษาหูด
-
CO2 Laser
ถือเป็นเลเซอร์ที่ใช้บ่อยที่สุดในการรักษาหูดทุกชนิด เพราะสามารถกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อได้อย่างแม่นยำ พลังงานของเลเซอร์จะเผาไหม้เฉพาะจุด ทำให้แผลมีขนาดเล็ก ลดการบวมแดงและการเสียเลือด หลังทำจะเกิดสะเก็ดเล็ก ๆ และหลุดออกภายในไม่กี่วัน เหมาะกับหูดที่เกิดขขึ้นบริเวณมือ เท้า ลำตัว หรือส่วนที่ผิวค่อนข้างมีความหนา
-
Erbium YAG Laser
เป็นเลเซอร์ที่ให้พลังงานในระดับตื้นกว่าเลเซอร์ชนิด CO2 ทำให้เวลารักษาจะรู้สึกเจ็บน้อยและเกิดความร้อนสะสมน้อยกว่า จึงเหมาะกับบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ใบหน้า คอ หรือบริเวณที่ผิวบอบบาง จุดเด่นของการรักษาหูดด้วยเลเซอร์ชนิดนี้ คือ แผลหายเร็ว ผิวเรียบเนียนหลังทำ และลดโอกาสเกิดรอยดำหรือรอยนูนหลังการรักษา
-
Pulsed Dye Laser (PDL)
เลเซอร์ชนิดนี้ทำงานเจาะจงไปที่เส้นเลือดฝอยที่คอยหล่อเลี้ยงหูด เมื่อเส้นเลือดเหล่านี้ถูกทำลาย หูดก็จะขาดเลือดและยุบตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่มีหูดขึ้นซ้ำ ๆ หรือมีหูดในจุดที่ไม่สามารถจี้ได้ง่าย เช่น รอบเล็บ หรือฝ่าเท้า
หูด ทำไมบางคนรักษาแล้วยังกลับมาเป็นซ้ำ
แม้จะรักษาหูดแล้วเราก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพราะเชื้อไวรัส HPV สามารถซ่อนอยู่ใต้ผิวได้โดยไม่แสดงอาการ และเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็เชื้อไวรัสก็อาจกลับมาแสดงใหม่อีกครั้ง
ปัจจัยที่ทำให้กลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่
- ยังมีเศษเชื้อไวรัสหลงเหลือหลังการรักษา
- ภูมิคุ้มกันผิวไม่แข็งแรง
- ไม่ดูแลแผลหลังทำให้ดี จนเกิดการติดเชื้อซ้ำ
- สัมผัสหรือใช้ของร่วมกับผู้อื่นอีก
ดังนั้น การรักษาหูดจึงไม่ใช่แค่เลเซอร์ออกเท่านั้น แต่ต้องดูแลผิวให้แข็งแรงหลังทำร่วมด้วย เพื่อป้องกันหูดกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง นั่นเอง
วิธีดูแลผิวหลังรักษาหูด ไม่ให้ทิ้งรอยและติดเชื้อ
- อย่าแกะหรือเกาแผลเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ไวรัสแพร่กระจาย
- รักษาความสะอาดแผล ด้วยน้ำเกลือปลอดเชื้อหรือยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ
- หลีกเลี่ยงการโดนน้ำในช่วง 1–2 วันแรก
- ทาครีมลดรอยหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์อ่อนโยน เพื่อป้องกันรอยดำและรอยนูน
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และใช้ครีมกันแดดทาบริเวณแผล
- เข้าตรวจอาการตามนัด เพื่อให้แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังประเมินว่าหายดีหรือยังมีเชื้อหลงเหลือ
ซึ่งบางคลินิกอาจมีทรีตเมนต์ฟื้นฟูผิวหลังเลเซอร์รักษาหูด เช่น LED Light หรือเลเซอร์ลดรอยแดง ซึ่งช่วยให้ผิวเรียบเนียนกลับมาเร็วขึ้น
สรุป
หูดถือเป็นโรคทางผิวหนังที่บ่งบอกถึงสัญญาณที่ควรได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีตั้งแต่ระยะแรก โดยการสังเกตอาการเริ่มต้น การรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง และการดูแลผิวหลังทำอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นได้
หากเราพบว่ามีตุ่มนูน ผิวแข็ง หรือคล้ายหูดขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อย่าปล่อยไว้จนลุกลาม ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ เพื่อเลือกวิธีรักษาที่ปลอดภัย เหมาะกับสภาพผิว และช่วยให้ผิวของคุณกลับมาเรียบเนียนได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง





