“สีหศักดิ์” ปิดห้องคุยเอกชน ไม่แน่ใจเขมร อยากเจรจาหรือไม่
“สีหศักดิ์” ปิดห้องคุยภาคเอกชนไทยในกัมพูชา ยอมรับไม่แน่ใจ “เขมร” อยากเจรจาหรือไม่ ชี้ ชอบหาช่องสร้างความได้เปรียบ ย้ำไทยไม่ติดมหาอำนาจช่วย แต่ต้องคุยกันอย่างสันติ
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับภาคเอกชนไทยในกัมพูชา เพื่อรับฟังปัญหาและผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา
โดยมีผู้แทนสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา สภาธุรกิจไทย–กัมพูชา ผู้ประกอบการโรงแรม ธนาคาร สายการบิน และธุรกิจอาหาร เข้าร่วมกว่า 30 ราย ขณะที่ฝั่งสถานทูตไทย มีนายตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ เข้าร่วมประชุมด้วย
นายสีหศักดิ์ กล่าวเปิดประชุมว่า สาเหตุที่เรียกประชุมในวันนี้ เพราะรัฐบาลเข้าใจความกังวลของภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ชายแดน พร้อมยืนยันว่าไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกัน ควรอยู่ร่วมกันอย่างสันติ “สันติภาพของเขา ก็คือสันติภาพของเรา ความก้าวหน้าของเขา ก็คือความก้าวหน้าของเรา”
และย้ำว่า ไทยพยายามใช้สันติวิธีเป็นหลักในการแก้ไขปัญหา พร้อมยอมรับตามความรู้สึกว่า ยังไม่แน่ใจว่าฝ่ายกัมพูชามีความตั้งใจจะเจรจา อย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา “เขามักหาช่องสร้างความได้เปรียบ” และในบางครั้งเลือกจะนำประเด็นไปพูดบนเวทีระหว่างประเทศแทนที่จะคุยกันโดยตรงในฐานะเพื่อนบ้าน
รัฐมนตรีต่างประเทศ เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ระหว่างเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ที่นิวยอร์ก ว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา โดยมีสหรัฐอเมริกา ประสานให้มีการหารือร่วม 4 ฝ่าย ได้แก่ ไทย กัมพูชา มาเลเซีย (ในฐานะประธานอาเซียน) และสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกอย่างสันติ
“ผมพยายามเสนอให้เน้นความคืบหน้าและความตั้งใจจริง แต่วันรุ่งขึ้นในการกล่าวสุนทรพจน์ เขากลับกล่าวหาประเทศไทยในหลายเรื่อง ซึ่งสะท้อนว่าฝ่ายกัมพูชายังใช้เวทีระหว่างประเทศเพื่อสร้างความได้เปรียบมากกว่าจะมุ่ง หาทางคลี่คลายความขัดแย้งอย่างจริงใจ”
ขณะนี้ไทยเริ่มเจรจาในบางประเด็นเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่ยังไม่ถึงจุดที่เรียกได้ว่าปกติ โดยไทยยังคงยึดหลัก “ปกป้องอธิปไตย ไม่กลัวการเจรจา” ตราบใดที่เป็นการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา
พร้อมย้ำว่าแนวทางการเจรจา ต้องมีความคืบหน้าใน 4 ประเด็นหลัก ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงไว้ก่อนหน้า ได้แก่
1.การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน ร่วมตรวจสอบ
2.การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เสี่ยง หลังมีทหารไทยบาดเจ็บจากเหตุระเบิดหลายครั้ง
3.การปราบปรามอาชญากรรมชายแดน โดยเฉพาะ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์–สแกมเมอร์” ที่สร้างความเสียหาย ให้คนไทยจำนวนมาก
4.การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีการรุกล้ำจากชาวกัมพูชา ซึ่งไทยมั่นใจว่ามีการบุกรุกจริง โดยเฉพาะใน 2 หมู่บ้านหลัก
ทั้งนี้ การแก้ปัญหาการรุกล้ำและอาชญากรรมเหล่านี้ต้องเป็นจุดเริ่มต้นก่อนพูดถึงการเปิดการค้าชายแดนเต็มรูปแบบ พร้อมเผยว่า ขณะนี้มี “ประเทศมหาอำนาจ” แสดงความประสงค์จะช่วยเป็นตัวกลาง ในการประสานงาน โดยยินดีถ้ามีใครเข้ามาเป็นผู้ประสาน ไม่ใช่ผู้เจรจา เพราะเราต้องการให้เกิดความคืบหน้าอย่างแท้จริง แต่ไทยยืนยันว่าปัญหานี้ควรแก้กันแบบสองฝ่ายเป็นหลัก
นายสีหศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชนเพื่อหามาตรการบรรเทาผลกระทบในระหว่างที่การเจรจายังดำเนินอยู่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดสันติภาพ แต่เราทำเต็มที่ เพื่อให้คนไทยและธุรกิจไทยในกัมพูชาได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





