รัฐบาลเดินหน้า ควบคุมราคายาเอกชน ลดความเหลื่อมล้ำ
หนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ที่น่าสนใจ คือเรื่องการคุมราคายาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชน โดยมีการคาดการณ์ว่า หากมาตรการนี้เดินหน้าเต็มรูปแบบ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้กว่า 33,500 ล้านบาทต่อปี
คุณ ศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หยิบยกเรื่องการคุมราคายา และเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชน มาเป็น 1 ในนโยบายQuick Big Win” และมีแผนดำเนินการราคายา MOU กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน รับรู้ค่าใช้จ่ายราคายาก่อนชำระเงิน และไม่จำเป็นจะต้อง ยอมรับในค่าใช้จ่ายนั้นทันที โดยประชาชนสามารถไปซื้อที่ร้านค้าข้างนอกโรงพยาบาลเอกชนได้
ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนกว่า 110 แห่งจาก 5 เครือใหญ่ที่ตอบรับเข้าร่วมแล้ว ได้แก่ วิภาราม เกษมราษฎร์ ธนบุรี บางประกอก และดุสิตเวชการ โดยจะมีการประชุมเพิ่มเติม 7 ตุลาคม 2568 คาดว่าจะได้จำนวนเพิ่มมากขึ้น และจะสามารถดำเนินการได้ช่วงสิ้นเดือนตุลาคม
โครงการดังกล่าวจะสามารถลดค่าครองชีพประชาชนได้ 32,400 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ คุณ ศุภจี มองว่า หากมาตรการใหม่เดินหน้า โรงพยาบาลเอกชนอาจต้องเผชิญแรงกดดันด้านรายได้ เพราะการขายยาคือหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญ นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าโรงพยาบาล อาจต้องปรับกลยุทธ์ เน้นรายได้จากบริการรักษามากขึ้นแทนการพึ่งพาการจำหน่ายยา
อย่างไรก็ตามก็มีความกังวลว่าโรงพยาบาลอาจเลือกชดเชยด้วยการปรับค่าบริการอื่นแทน ซึ่งอาจทำให้ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่
ในอีกมุมหนึ่ง ฝ่ายสนับสนุนเชื่อว่าการแข่งขันด้านราคาจะเกิดขึ้นจริง การที่ผู้ป่วยมีสิทธิ์เลือก ซื้อยาจากภายนอกจะทำให้โรงพยาบาลเอกชนต้องปรับราคาเพื่อรักษาฐานคนไข้ และอาจดึงดูดคนชั้นกลางกลับมาใช้บริการมากขึ้น เพราะค่ารักษามีความสมเหตุสมผลกว่าเดิม
ล่าสุดวันนี้ ( 1 ต.ค.68 ) เพจเฟซบุ๊กชมรมเภสัชชนบท ออกมาโพสต์หนังสือเปิดผนึกถึงนายกฯ เรื่องการแก้ปัญหายาแพง เหนอแนวทาง 4 ข้อ
1. เสนอให้รัฐบาลโดยกรมการค้าภายในและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ( อย.) ใช้กลไกราคากลาง (Reference Pricing)
1.1 อย. จัดทำ list ยาที่จำเป็น Essential Medicines
1.2 กรมการค้าภายใน กำหนดราคากลางและเพดานกำไร เช่น กำหนดรายการยา generic จำนวน 100 รายการที่แพทย์สั่งใช้กับคนใช้จำนวนมาก ต้องขายไม่เกิน กี่ % ของราคากลาง
2. รัฐบาลโดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข บังคับใช้ข้อกำหนดอย่างจริงจัง
ที่ รพ.เอกชน ต้องออกทางเลือกให้ใบสั่งยาและให้ผู้ป่วยเลือกซื้อจากร้านยาได้ ส่วนนี้จะทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด โดยไม่ต้องไปคุมราคา
3. ราคาที่ฉลาก โดยที่ประชาชนตรวจสอบได้ว่า ยาตัวนี้มีเพดานราคาเท่าไหร่
ถ้า รพ.ขายแพงกว่ามาก ต้องมีเหตุผลชี้แจง ต้องดำเนินการโดยมีฐานข้อมูลกลาง รวบรวมข้อมูลและให้ผู้ป่วยเข้าถึงเพื่อตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง
4. บังคับใช้เป็น Phase โดย
ระยะที่ 1: ยาที่ใช้บ่อยที่สุด 100 รายการแรก
ระยะที่ 2: เวชภัณฑ์พื้นฐาน เช่น น้ำเกลือ เข็ม ผ้าก๊อซ ฯลฯ
ระยะที่ 3 ยากลุ่มโรคเรื้อรังที่มียา generic แล้วโดยเฉพาะเบาหวาน ความดัน ไขมัน ข้อนี้จะสะท้อนความรอบคอบและไม่ภาระกระทบกับ supply chain
ซึ่งแนวคิดรัฐบาลโดย รมต.ศุภจี น่าสนใจ ถูกทิศทางและสอดคล้องกับแนวโน้มสากล แต่ต้องทำแบบรอบคอบและค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบ supply chain หรือทำให้โรงพยาบาลเอกชนปรับราคาอย่างอื่นแทน ไม่เช่นนั้นผู้ป่วยอาจไม่เห็นประโยชน์จริงเท่าที่คาดหวัง
ความท้าทายคือ 4 เดือนกับการควบคุมราคา อย่างน้อยระยะที่ 1 เกิดขึ้นก็น่าจะพอทำให้เป็นแรงดีด มีแรงสนับสนุนในการทำงานครั้งหน้าต่อไป
การหาจุดสมดุลระหว่างการลดภาระประชาชนกับการคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางธุรกิจ ของโรงพยาบาลเอกชน หากว่าทำได้จริงนโยบายนี้ อาจกลายเป็นก้าวสำคัญของการปฏิรูประบบสุขภาพที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำของคนไทย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





