ไทย-กัมพูชา ฟ้องศาลโลก ต้องกลัวหรือไม่
“แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ เจนวายของไทย ประกาศชัด “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เวลานี้ขอเลือกสันติวิธี” หลังกัมพูชา จะเอาเหตุขัดแย้ง ยิงปะทะที่ช่องบก
“แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ เจนวายของไทย ประกาศชัด “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เวลานี้ขอเลือกสันติวิธี” หลังกัมพูชา จะเอาเหตุขัดแย้ง ยิงปะทะที่ช่องบก รวมถึงจะเอาปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนโต๊ด และพื้นที่ทับซ้อนต่าง ๆ ทั้งทางบก และทะเล ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลก ท่าทีของเขมรนี้ อาจสร้างความวิตกกังวลให้กับคนไทย หวั่นเกรงจะเสียดินแดนอีก เพราะไทยเรามีภาพจำที่ไม่ค่อยดีนักกับการขึ้นศาลโลก และรู้สึกว่า “เสียเปรียบ เสียรู้” อยู่ตลอด
เนื่องจากการตัดสิน กรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 และ ปี 2556 ทั้งที่ข้อเท็จจริง ไทยต้องขึ้นศาลโลก ทั้ง 2 ครั้ง เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกกันว่า “ศาลโลก” ก่อตั้งขึ้นในปี 2488 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นองค์กรในสังกัดองค์การสหประชาชาติ ต้องแสดงเจตนายอมรับอำนาจศาลอย่างเป็นทางการเสียก่อน ถ้าไม่รับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ก็ไม่มีข้อผูกพันใด ๆ โดย การรับอำนาจศาลโลก กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ แสดงเจตนารับคราวละ 10 ปี ซึ่งประเทศไทยไม่เคยรับอำนาจศาลโลกอย่างเป็นทางการ แต่เคยรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ”ศาลโลกเก่า” ซึ่งเป็นองค์กรในสังกัดองค์การสันนิบาตชาติ ที่ตั้งขึ้นในปี 2463 เท่านั้น แต่การส่งหนังสือประกาศยืนยันจากรัฐบาลไทย ถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ต่ออายุการรับอำนาจศาลโลกเก่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2493 กลับถูกวินิจฉัยในเวลาต่อมาว่า คือการยอมรับอำนาจศาลโลกใหม่ และเป็นต้นเหตุให้เราเสียปราสาทพระวิหาร
มีหลักฐานปรากฏว่าชัดเจน ประเทศไทยไม่ได้รับอำนาจศาลโลก มาตั้งแต่ปี 2503 คดีปราสาทพระวิหาร ที่กัมพูชาฟ้องในปี 2502 เป็นคดีแรก และคดีสุดท้าย ที่เราอยู่ภายใต้อำนาจศาลโลก ซึ่งเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มี 2 ภาค เป็นระยะเวลากว่า 60 ปี ดังนั้น การที่กัมพูชาประกาศจะฟ้องศาลโลก ความขัดแย้งที่สามเหลี่ยมมรกต นั้น ก็จะไม่มีผลใช้บังคับ นั่นหมายถึงกัมพูชาไม่มีสิทธิในการฟ้องไทยในศาลโลกทุกกรณี ถ้าไม่ได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการจากไทยและไทย ก็”ไม่จำเป็น”ต้องขึ้นศาลโลก เพราะไทยไม่รับอำนาจศาลโลก
นอกจากนี้ ไทยยังมี มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 ภายใต้การนำของ”เศรษฐา ทวีสิน” ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยได้ชัดเจน คณะรัฐมนตรีลงมติเป็นหลักการ ให้แจ้งไปยังทุกส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐ ให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ว่าในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญา ซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาลโลก มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลโลกไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ
ดังนั้นสบายใจได้ ขอแต่เพียงรัฐบาล “แพทองธาร” หรือรัฐบาลไหนในอนาคต อย่าได้ยกเลิกหลักการสำคัญยิ่ง อันเป็นมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 อย่างเด็ดขาด ไทยก็ไม่จำเป็นต้องกลัว การฟ้องศาลโลกของกัมพูชา ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นศาลโลกอีก เพราะไทยไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก และเป็นไปไม่ได้ที่ กัมพูชา จะดำเนินการฟ้องได้โดยฝ่ายเดียว
ส่วนการแก้ปัญหาในอนาคต จะดำเนินไปในทิศทางไหน ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาล”แพทองธาร” หรือรัฐบาลใหม่ที่จะตามมา เพราะเรื่องเขตแดนคงไม่จบง่ายๆใน 1-2 ปีนี้ จะเดินเกมตามเขา หรือจะพลิกเกมกลับมาเป็นผู้นำ จัดการกับเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ ให้เด็ดขาดต้องคอยติดตามกันต่อไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





