ทหาร ฉก.ร.4 รวบชาวไทยและเมียนมา อาศัยช่วงน้ำเมยล้นตลิ่ง นั่งเรือยนต์หางยาวลักลอบข้ามแดน
หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 แม่สอด( ฉก.ร.4)แม่สอด โดย ร้อย.ร.431 ได้ออกปฏิบัติการลาดตระเวน และ ทำการซุ่มเฝ้าตรวจชายแดน ในพื้นที่รับผิดชอบ บริเวณช่องทาง/ท่าข้ามธรรมชาติที่ 21 (MU.470475 ) บ้านวังตะเคียนใต้ หมู่ 7 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ตรวจพบเรือยนต์หางยาว ต้องสงสัย จำนวน 1 ลำ และบุคคลต้องสงสัย จำนวน 3 คน เป็นชาย ได้นั่งอยู่บนเรือ และกำลังแล่นออกมาจากท้ายท่าข้ามที่ 14 (MU.468474) หมู่ 3. บ้านท่าอาจ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด โดยตอนแรกข้ามไปยังฝั่งประเทศเมียนมา จากนั้นบุคคลที่โดยสารมากับเรือ จำนวน 1 คน ได้ลงจากเรือ และมีบุคคลเป็นชาย จำนวน 2 คน ได้ขึ้นเรือยนต์หางยาวข้ามกลับมายังฝั่งประเทศไทย
เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.ร.4. ที่เฝ้าสังเกตการณ์และซุ้มตรวจดูอยู่ จึงแสดงตนเข้าตรวจสอบและควบคุมตัว พบว่าเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 4 คน เป็นชายทั้งหมด ซึ่งในระหว่างการซุ้มเฝ้าตรวจขายแดนริมแม่น้ำเมยของเจ้าหน้าที่ทหาร นั้นได้ มีการบันทึกภาพทางถ่ายและภาพวิดีโอเพื่อเป็นหลักฐานไว้ทั้งหมด ระหว่างที่มีการนำเรือยนต์ข้ามฝั่งไปมา ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักฐานทางคดี เพื่อดำเนินคดีกับผู้ถูกจับกุม
จากการตรวจสอบไม่พบเอกสารในการเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร ประกอบด้วย นาย แต๋ลู (ไม่มีนามสกุล) อายุ 39 ปี สัญชาติเมียนมา ซึ่งเป็นคนขับเรือ ,นาย จัวซาม (ไม่มีนามสกุล) อายุ 20 ปี สัญชาติเมียนมา, นาย เตี๋ยพอนอ (ไม่มีนามสกุล) อายุ 41 ปี สัญชาติเมียนมา ,และ นาย อาจอ (ไม่มีนามสกุล) อายุ 23 ปี สัญชาติเมียนมา
จากการสอบถามของ จนท.ทหาร นั้นนายแต๋ลู คนขับเรือให้การว่าได้ข้ามไปส่งบุคคลชาวไทยที่ฝั่งเมียนมาและรับบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมากลับมาจริง โดยบุคคลชาวไทยที่ลักลอบข้ามไป ได้ลักลอบข้ามกลับมาที่บริเวณท่าข้ามที่ 18 (MU.463483 ) หมู่.7 บ้านวังตะเคียนใต้ ต.ท่าสายลวดทางทหารหน่วยที่จับกุมจึงจัดกำลังเข้าตรวจสอบ ผลการปฏิบัติ พบ นายรง อายุ 42 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ จากการตรวจสอบภาพถ่ายพบเป็นบุคคลเดียวกันกับที่คนขับเรือให้ข้อมูลว่าลักลอบข้ามไปฝั่งประเทศเมียนมา ทางทหารจึงได้ควบคุมตัวบุคคลทั้งหมด ไปตรวจหาเชื้อไวรัส Covid-19
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
