fbpx
Home
|
ข่าว

“สมชาย”ยังจี้กกต.เร่งส่งศาลรธน.- ไม่รู้สว. 90% งดออกเสียง

Featured Image
“สมชาย” ยังจี้ กกต.เร่งส่งศาล รธน.วินิจฉัยคุณสมบัติ”พิธา” ย้ำเสียงโหวตของ ส.ว.ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจแต่ละคน ไม่รู้ 90% งดออกเสียง

 

 

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึง กรณีที่ กกต.จะส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคก้าวไกลว่าที่มีข้อสงสัยว่า เรื่องการถือหุ้นสื่อ ตามมาตรา 98 (3) และไปกระทบต่อคุณสมบัติของการเป็น ส.ส. และแคนดิเดตการเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 88, 89 ซึ่งหากนายพิธาได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมาก็จะขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 ดังนั้น สิ่งที่ถูกต้องคือ กกต.จะต้องส่งศาลพิจารณาโดยเร็ว

 

 

สำหรับเสียงการลงมติของ ส.ว. นายสมชายกล่าวว่าขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละท่านว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ส.ส. เป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี และ ส.ว. มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบ ดังนั้น ในการให้ความเห็นชอบส.ว. จึงควรเทียบเคียงกับหลักเดิมเช่นการสรรหาองค์กรอิสระ ซึ่งจะต้องฟังข้อมูลก่อน เช่น การแสดงวิสัยทัศน์ ของผู้สมัครซึ่งขณะนี้ไม่ทราบว่าจะมีกี่คน ซึ่งอาจจะมีเพียงนายพิธาคนเดียว หรือ ข้อมูลจากกกต. ที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา และการตัดสินใจให้เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละท่าน เชื่อว่าทุกท่านมีวุฒิภาวะในการเลือกนายกรัฐมนตรี นโยบายในการเข้าไปทำหน้าที่ดูแลประชาชนทั้ง77 ล้านคน เชื่อว่า ส.ว. ใช้ดุลยพินิจได้อย่างดี ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร ให้รอดูวันที่ 13 ก.ค.นี้

 

ส่วนเรื่องที่ส.ว. จะร่วมกันงดออกเสียงในการโหวตเลือกนายกฯนั้นนายสมชาย กล่าวว่า การงดออกเสียงในที่นี้มีอยู่ 2 กรณี คือ งดออกเสียงเพื่อยังไม่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีขณะนี้เพื่อรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นที่สุดก่อน และการงดออกเสียงอีกหนึ่งกรณีคือ ไม่เห็นด้วยให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี

 

สำหรับกระแสข่าวที่ว่าส.ว. กว่า 90% จะงดออกเสียงให้นายพิธานั้น นายสมชาย กล่าวว่า ไม่ทราบในเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าใครประเมิน และทุกครั้งที่ทราบข่าวการประเมินก็เห็นว่าส.ว. จะโหวตให้นายพิธา

 

ทั้งนี้ ส.ว. ใช้ดุลยพินิจ และความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง รับผิดชอบต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอย้ำว่า เป็นความรับผิดชอบ รวมถึงประชาชนด้วย การที่เราจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี เราไม่ได้เลือกในระบบประธานาธิบดี ถ้าเราเลือกประธานาธิบดีก็จบ แต่เราเลือกในระบอบที่รัฐสภาเป็นผู้เลือก คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีมาจากสภาเสนอ

 

นายสมชาย ยังกล่าวว่า ในช่วงเหตุการณ์เปลี่ยนผ่าน คสช. 5 ปีแรกให้ส.ว. มีส่วนร่วม ในการโหวตเลือกนายกฯ ส.ว. ต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ ว่าถ้าเราเลือกไปแล้ว ไปทำหน้าที่พาประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองไม่มีปัญหาใดเราก็เห็นด้วยแต่ถ้าเลือกไปแล้วมีปัญหาที่พาประเทศไปสู่วิกฤตหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งพลิกฟ้าข้ามแผ่นดินส.ว. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะโหวตอย่างไรจะเป็นการจารึกในประวัติศาสตร์ว่าท่านเป็นผู้ทำให้เกิดเรื่องนี้ ดังนั้นส.ว. จึงต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ เนื่องจากเวลาการขานชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีต้องขานเป็นสาธารณะว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ

 

สำหรับกรณีที่มีส.ว. สายทหารเดินหน้าล็อบบี้หาคะแนนเสียงให้นายพิธานั้น นายสมชาย กล่าวว่า ไม่ทราบในเรื่องนี้

 

ซึ่งหากโหวตเลือกนายพิธา เป็นนายกรอบแรกไม่ผ่านจะต้องมีรอบที่สองหรือไม่นั้น นายสมชายกล่าวว่าในเรื่องนี้รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ ซึ่งจะใช้ประเพณีในการปกครองแบบใด ส.ว. นั้น ยอมรับว่ามีความกังวลเพราะทราบข่าวว่าจะขอโหวตไปเรื่อยๆ ในเรื่องนี้สมควรจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด

 

ทั้งนี้ หากจะมีการเสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีท่านอื่นที่ไม่ใช่นายพิธา ส.ว. จะโหวตให้หรือไม่นั้น นายสมชาย กล่าวว่า ในเรื่องนี้ ส.ว. ไม่เกี่ยว และจะไม่ยุ่งกับขั้วใดขั้วหนึ่ง ให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองไปตกลงกันเอง ซึ่ง หากเสนอนายพิธาได้แล้วจบ หรือจะเสนอชื่อ อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร , นายเศรษฐา ทวีสิน , หรือ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยก็ให้ว่ากันไป หรือจะเปลี่ยนมาเสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูลแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย หรือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคพลังประชารัฐ ,พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ส.ว. จะไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องนั้น

 

 

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบแล้วประเทศชาติเจริญก้าวหน้าไปได้ มีความมั่นคงปลอดภัย ไม่นำประเทศไปสู่วิกฤตอันตราย ความสุ่มเสี่ยงใดๆ ส.ว. ก็ให้ความเห็นชอบ แต่เมื่อสุ่มเสี่ยงต้องถามในสภา หากยังยืนยันจะต้องนำสิ่งนั้นมาพิจารณา”

 

นายสมชาย กล่าวว่า ยังมีหลายประเด็นที่ยังไม่ค่อยสบายใจ เช่น การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หากนายพิธายืนยันว่าจะไม่แก้ไข และจะเดินหน้าตั้งคณะกรรมการ ศึกษาไว้ก่อน ก็ขอถามกลับว่าพรรคก้าวไกลทั้ง 150 คน ที่เหลือคิดแบบเดียวกันหรือไม่ ซึ่งรวมถึงเครือข่ายองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องยังคิดแบบเดียวกันหรือไม่ เช่น การร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่โดย กระทบหมวด 1 และ 2 กระทบต่อพระราชอำนาจ หรือองค์กรอิสระทั้งหมดที่พรรคก้าวไกลเคยมีแนวนโยบายออกมาว่าจะยุบองค์กรอิสระตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญลงไป

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube