“ภูมิธรรม” ได้รับรายงานเบื้องต้น ผลกระทบจากอิหร่านเปิดฉากถล่มอิสราเอล จับตาสถานการณ์ราคาน้ำมันพุ่ง
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานเบื้องต้นจากทางสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หรือ สนค. กระทรวงพาณิชย์ ถึงผลกระทบจากอิหร่านเปิดฉากถล่มอิสราเอลเพื่อตอบโต้ กรณีถูกทิ้งระเบิดโจมตีอิหร่านในซีเรีย ว่า จากกรณี”อิหร่าน ได้เปิดฉากโจมตี “อิสราเอล” ด้วยการใช้ขีปนาวุธและโดรนยิงถล่มพร้อมกัน เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 13 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่น
ซึ่งเป็นการเปิดฉากและเปิดหน้าโจมตีอิสราเอสโดยตรง “เป็นครั้งแรก” นับตั้งแต่เกิดเหตุอิสราเอลถล่มสถานทูตอิหร่านในประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เม.ย.จนทำให้กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านเสียชีวิต 7 นาย
โดยกองทัพอิสราเอล ระบุว่า มีการยิงโดรนมากกว่า 200 ลูกมาจากอิหร่าน ซึ่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในอิรักและจอร์แดนต่างก็รายงานพบโดรนบินผ่านน่านฟ้าของตนเอง ส่งผลให้อิสราเอล และจอร์แดนต่างปิดน่านฟ้า หลังอิหร่านยิงโดรนและขีปนวุธถล่ม ทำให้สายการบินหลายแห่งต้องยกเลิกและปรับเปลี่ยนเส้นทาง
นอกจากนี้ยังมีเหตุกรณ์ที่คาดว่าจะเกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว โดยเมื่อเข้าวันที่ 13 เม.ย. 67 ตามเวลาท้องถิ่น สำนักข่าว Bloomberg รายงานอ้างอิง Islamic Republic News Agency ของอิหร่านว่า กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอิหร่านได้ยึดเรือขนส่งสินค้า “MSC Aries” ติดธงโปรตุเกส ซึ่งอ้างว่ามีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล ในอ่าวเปอร์เซียที่บริเวณใกล้กับช่องแคบฮอร์มุซ (Hormuz)
โดยการยึดเรือที่เกิดดังกล่าวให้เกิดความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าผ่านตะวันออกกลาง หลังจากที่มีความเสี่ยงในทะเลแดงต่อเนื่อง มาแล้วหลายเดือนจากการที่กลุ่มติดฮูตี๋ในเยเมนซึ่งเป็นพันธมิตรของอิหร่านได้โจมตีเรือที่ล่องผ่านทะเลแดง ขณะที่ก่อนหน้านี้ IRGC เคยออกมาเตือนว่าอาจปิดช่องแคบฮอร์มุซ หากศัตรูก่อกวนจนทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง ผลกระทบสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ตึงเครียดขึ้นหลังอิหร่านและอิสราเอลเริ่มเผชิญหน้ากับอิสราเอลโดยตรง สร้างความกังวลว่าอิหร่านในฐานะผู้คุมเส้นทางการขนส่งน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย
อาจตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุช (Hormuz) เพื่อตอบโต้อิสราเอลและพันธมิตรชาติตะวันตก โดยช่องแคบฮอร์มุช (Hormuz) เป็นช่องแคบที่สำคัญเดินในการเรือเพื่อส่งออกสินค้าสำคัญของประเทศที่ส่งออกน้ำมันและก็ชธรรมชาติเกือบหมดในตะวันออกกลาง ทั้งชาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน กาตาร์ และคูเวต
โดยข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EA) ระบุว่า ในปี 2565 ช่องแคบฮอร์มุซถูกใช้เป็นช่องทางขนส่งน้ำมันวันละ 21 ล้านบาร์เรลหรือคิดเป็น 21% ของปริมาณการขนส่งน้ำมันทั่วโลกในแต่ละวัน
ดังนั้น หากน้ำมันไม่สามารถขนส่งผ่านจุดดังกล่าวแม้เพียงชั่วคราว อาจนำไปสู่ความล่าช้าในการจัดหาน้ำมัน และทำให้ตันทุนการขนส่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาพลังงานโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันโอเปกได้ขยายการลดกำลังกรผลิตโดยสมัครใจ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหากการโจมตีของอิหร่านส่งผลให้เกิดสงครามที่กว้างขึ้นราคาอาจสูงขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันจะสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้กับเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะชะลอตัว
ขณะที่ผลกระทบต่อไทยซึ่งเป็นประเทศที่อาศัยการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางอาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาอุปทานน้ำมันดิบ อีกทั้งยังกระทบต่ออการขนส่งสินค้าไปยังตะวันออกกลางซึ่งส่วนใหญ่ต้องเข้าผ่านทางช่องแคบฮอร์มุขด้วย ทั้งนี้ สนค.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews