รวบแล้ว! “ชายเร่ร่อน” ทุบกระจกรถยนต์ลักทรัพย์สิน เปลี่ยนชุดอำพรางหลบหนี พบเคยติดคุกเพิ่งพ้นโทษ
วันนี้ (17 ม.ค. 65) พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.สรเสริญ ใช้สถิตย์ ผบก.น.6 และจนท.สส.สน.พลับพลาไชย 1 ร่วมแถลงข่าวจับกุม นายวิเชียร อายุ 55 – 60 ปี คนร้ายทุบกระจกรถยนต์ลักเอาทรัพย์สิน พื้นที่ สน.พลับพลาไชย1 ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ข้อหา “ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นฯ โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่นฯ” พร้อมของกลาง ไขควง อุปกรณ์ก่อเหตุทุบกระจก และเสื้อผ้าที่สวมใส่วันก่อเหตุ
เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 65 นายกิตติ ผู้เสียหาย เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย1 ว่ามีคนร้ายทุบกระจกรถยนต์ของตน ซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านเลขที่ 100/42 ตรอกแม้นศรี แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ และลักเอาทรัพย์สินไป ได้แก่ โน้ตบุ๊ก ยี่ห้อ Lenovo มูลค่า 25,000 บาท และแว่นตา ยี่ห้อ ออลแมนนี่ มูลค่า 12,000 บาท
จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าคนร้ายมีพฤติการณ์อำพรางการแต่งกาย และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทางหลบหนี โดยก่อนเกิดเหตุสวมหมวกสีดำ แมสก์สีดำ เสื้อเชิ้ตสีครีม กางเกงสีส้ม รองเท้าแตะ ถือกระเป๋าถุงผ้าสีฟ้า เดินมาขึ้นรถประจำทางสาย 2 จากนั้นลงรถบริเวณ ซอยหลานหลวง 1 แล้วเปลี่ยนมาสวมกางเกงขายาวสีเข้ม รองเท้าผ้าใบหุ้มส้นสีดำพื้นขาว เดินเท้าตามถนนจักรพรรดิพงษ์ไปยังถนนแม้นศรี จนมาถึงที่เกิดเหตุ จากนั้นสวมเสื้อคลุม และถุงมือ ก่อนก่อเหตุ ภายหลังก่อเหตุขึ้นรถสามล้อสาธารณะหลบหนีไปจนถึงตลาดโบ๊เบ๊ และขึ้นรถประจำทางสาย 2 กลับไปยังแยกหลานหลวงตามเดิม
เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนขยายผล พบว่าปัจจุบันผู้ต้องหาเป็นคนเร่ร่อน เคยมีประวัติถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหาเดียวกัน และเพิ่งพ้นโทษจำคุกเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา เบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ากระทำการดังกล่าวจริง ซึ่งทรัพย์สินที่ขโมยมานำไปเสนอขายให้กับคนที่เดินผ่านไปมาในระแวกใกล้เคียง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบไม่พบการใช้สารเสพติด หรือเล่นการพนัน รวมทั้งผู้ต้องหาไม่มีสิ่งของมีค่าติดตัว
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews
